วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559

ตูป๊ะ" (ข้าวเหนียวต้ม) อาหารวันฮารีรายอ




  ระยะเวลา ๑  เดือนที่เพื่อนพ้องน้องพี่ชาวมุสลิมถือศีลอดในเดือนรอมฎอน เพื่อนพี่น้องมุสลิมก็จะฉลองกันใหญ่โตทุกคนจะกลับมาบ้านเพื่อพบปะพ่อแม่ญาติพี่น้องใน          “วันรายอ” ซึ่งคล้ายๆ กับงานเดือนสิบของคนไทยพุทธ  ก่อนวันรายอเพื่อนพี่น้องชาวมุสลิมจะทำ “ตูป๊ะ” หรือ “ต้มใบกะพ้อ” กัน  ดิฉันในฐานะที่เป็นคนไทยนับถือศาสนาอิสลาม  จึงอยากจะนำเสนอให้ทุกท่านได้รู้จักตูป๊ะ" (ข้าวเหนียวต้ม) อาหารวันฮารีรายอ


“ตูป๊ะ” จะมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยมห่อด้วยใบพ้อ        และข้าวเหนียวที่ใช้อาจจะเป็นสีขาวหรือบางบ้านนิยมใช้ข้าวเหนียวสีดำทำก็ได้บางคนอาจจะใส่ถั่วปนลงไปตาม     ความชอบซึ่งรสชาติจะมันๆหวานๆพอดีๆที่เกิดจากน้ำตาลและน้ำกะทิทำเป็นข้าวเหนียวมูนก่อนแล้วจึงห่อใบพ้อไปนึ่งหรือต้มและความหวานมันที่พอดีทำให้ไม่เลี่ยนเมื่อกินพร้อมกับแกงมัสมั่นเนื้อหรือไก่                        

                ก่อนวันรายอ ๑ วัน เด็กๆ มักจะหยุดเรียนเพื่อช่วยพ่อแม่ทำ “ตูป๊ะ”  เรา มาร่วมกันเรียนรู้การทำ “ตูป๊ะ” กันดีกว่านะค่ะ  ก่อนอื่นเราต้องไปหาใบกระพ้อมา  หลังจากนั้นก็ช่วยกันรีดใบพ้อกันซะก่อน  ส่วนผสมก่อนจะกวนตูป๊ะ  มีดังนี้  สารข้าวเหนียว 5 โล  (ล้างด้วยน้ำสะอาด ตั้งให้สะเด็ดน้ำ )น้ำตาลทราย ¼  หรือ 2/4 โล  มะพร้าว 7 ลูก(คั้นเอาเฉพาะหัวกะทิ) เกลือ 3 ช้อนกินข้าว



        ขั้นตอนและวิธีทำตูป๊ะ  ตั้งกระทะ เทกะทิใส่ลงไป  ตามด้วยเกลือ  เทข้าวเหนียวที่ล้างเตรียมไว้ก่อนหน้านี้แล้วลงในกะทะ  ใช้ไม้พายผัดไปผัดมา อย่าให้ข้าวเหนียวไหม้ติดกระทะ  ก่อนที่ข้าวเหนียวจะแห้ง ใส่น้ำตาล(ถ้าต้องการ)ลงไป  ผัดต่อไปเรื่อยๆจนข้าวเหนียวแห้ง (สังเกตจากข้าวเหนียวจะมีความแวววาวสวยข้าวเหนียวไม่ติดไม้พาย) ยกลงวางไว้ให้เย็นนำ  ตักใส่กะละมังไปแจกให้สมาชิกในบ้านหรือเพื่อนบ้านช่วยกันห่อด้วยใบกระพ้อ  แต่สำหรับ “ดังต้ม” ดิฉันขอจอง  ต่อไปจึงนำไปต้มจะต้องต้มกับกระทะใบบัวแหละถึงจะจุ  นำกระทะตั้งไฟ  หาวัสดุรองก้นกระทะ ก็ใช้ใบกะพ้อที่เหลือๆ นั่นแหละมาตัดเป็นชิ้นๆ รองก้นกระทะ  (หากต้องการให้หอม ก็ตัดใบเตยหอมโยนใส่ตามลงไป)  เรียงตูป๊ะขนาดใหญ่ให้อยู่ด้านล่าง ลูกเล็กอยู่ด้านบน  เติมน้ำให้ท่วมตูป๊ะ  ปิดฝาไม่ให้ความร้อนระเหยออกไป  ต้มกับกระทะมันไม่มีฝา ก็ใช้กะละมังลูกใหญ่ๆ นั่นแหละครอบลงไป  ต้มจนน้ำในกระทะแห้งหมด  ยกลงจากเตา เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสักครู่ใหญ่ๆ (ประมาณหลับแล้วฝันไปแล้ว 2 ตลบ)  ตูป๊ะที่ต้มไว้น้ำแห้งสนิท เป็นอันว่า ตูป๊ะสุกแล้วเรียบร้อย


แหล่งที่มา : http://krujindapitak.blogspot.com/2014/02/blog-post_388.html





สุขสันต์วันฮารีรายา






      วันฮารีรายา/รายอ บางท่านบอกว่าเป็นขนบธรรมเนียม บางท่านบอกว่าเป็นประเพณี จะเป็นขนบธรรมเนียมหรือประเพณีก็คงไม่ผิด เพราะวันรายา/รายอ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ประชาติอิสลามได้ยึดถือปฏิบัติมานานมากกว่า 1,400 ปี


           ฮารีรายา เป็นภาษามาลายู  ฮารี แปลว่า วัน รายา แปลว่า สนุกสนาน รื่นเริง ( 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เรียก รายอ) หรือจะเรียกวันสำคัญนี้ว่า วันตรุษของผู้นับถือศาสนาอิสลามก็ได้
            ในความหลากหลายของสังคม  ย่อมมีความแตกต่างในวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี โดยเฉพาะวันฮารีรายา คือ วันแห่งความรื่นเริงของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามทั่วโลก 
            สำหรับมุสลิมแล้ว วันรายา/รายอ จะมีอยู่สองครั้งในหนึ่งปี คือ วันอัยฎิลฟิตรี คือ วันรายาละศิลอด (ออกบวช) และวันอัยฎิลอัฏฮา(วันรายากุรบาน)
ประวัติความเป็นมา
            ตามบัญญัติในศาสนาอิสของศาสนาอิสลาม บัญญัติให้ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะต้องปฏิบัติตามตนตามกฎข้อบังคับ 5 ข้อ คือ
            ข้อที่ 1. ปฏิญาณตน : เป็นผู้ปฎิบัติตนอยู่ในศิลธรรมอย่างเคร่งครัด 
            ข้อที่ 2. ละหมาดวันละ 5 เวลา : ละหมาดซุบฮี, ละหมาดซูโฮร์, ละหมาดอัซรี, ละหมาดมักริบและละหมาดอีซา
            ข้อที่ 3 ถือศิลอด(ถือบวช)ในเดือนรอมฎอน : ใน 1 ปี จะต้องถือศิลอดเป็นเวลา 1 เดือน
            ข้อที่ 4 จ่ายฟิตเราะห์ : สละทรัพย์สินของตน ตามเกณฑ์ที่กำหนด
            ข้อที่ 5 หากผู้ใดมีความสามารถเพียงพอแก่การเดินทางจะต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ คือมีทรัพย์สินเงินทองเพียงพอต่อการเดินทางโดยไม่มีความเดือนร้อนต่อตนเอง และครอบครัว


แหล่งที่มา : http://www.eclubthai.com/board/index.php?topic=48211.0;wap2

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559

การแต่งกายของมุสลิมหญิง และ มุสลิมชาย


มุสลิม หมายถึงผู้นับถือศาสนาอิสลาม แบ่งเป็นมุสลิมีน (มุสลิมชาย) และมุสลิมะห์ (มุสลิมหญิง) ในการแต่งกายของมุสลิมตามหลักการในศาสนาอิสลาม มีวัตถุประสงค์สำคัญในการปกปิดสิ่งพึงละอายของร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายของสตรีมุสลิม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือนร่างเพศหญิง ดึงดูดความสนใจของบุรุษเพศ อันจะก่อให้เกิด "ฟิตนะห์(ความเสียหาย ความไม่ดีไม่งามต่อสังคม) ศาสนาอิสลามจึงได้วางหลักเกณฑ์ไว้เพื่อป้องกันฟิตนะห์ที่จะเกิดขึ้น
          เสื้อผ้าของทั้งมุสลิมชาย และมุสลิมหญิง ต้องสะอาด ประณีต เรียบร้อย ดูสวยงามเหมาะสมกับบุคลิกภาพ โดยการดำรงตนสมถะหรือการเคร่งครัดในศาสนา ซึ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่เสื้อผ้าเก่าแลดูซอมซ่อ เพื่อให้บุคคลอื่นเห็นว่าไม่ใส่ใจใยดีต่อโลก แต่ควรแต่งกายให้เหมาะสมด้วยสีสันและลวดลาย โดยหลักการศาสนาอิสลาม เสื้อผ้าที่มีลวดลายเป็นรูปสัตว์ หรือรูปมนุษย์ ต้องพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ และสำหรับมุสลิมชายนั้น มีข้อห้ามในการสวมผ้าไหม และสิ่งทอที่ประกอบหรือประดับด้วยทองคำแท้

"ฮิญาบ" ความหมายทางศาสนา คือ การปิดกั้น และความอ่อนน้อมถ่อมตน โดยมุสลิมชาย และมุสลิมหญิง ถูกสั่งใช้ให้คลุมฮิญาบ (อันหมายถึง ปกคลุมปิดกั้นตน ด้วยกิริยาในความอ่อนน้อมถ่อมตน) เช่น มุสลิมชายให้สำรวมตนโดยการลดสายตาลงต่ำ และมุสลิมหญิงพึงสงวนท่าทีและกิริยามารยาท แต่ความหมายโดยทั่วไปทางกายภาพของฮิญาบ คือ ผ้าคลุมศีรษะของมุสลิมหญิง ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่ใช้กันเป็นปกติในชีวิตประจำวันของสตรีทุกคนที่นับถือศาสนาอิสลาม
การคลุมฮิญาบของมุสลิมหญิง มีเกณฑ์ตาม "เอาเราะฮ์" (สิ่งพึงปกปิด) โดยสามารถพิจารณาได้หลายหลักเกณฑ์ เช่น เอาเราะฮ์ระหว่างชายหญิงทั่วไป เอาเราะฮ์ของเด็ก เอาเราะฮ์ระหว่างบุคคลในครอบครัวญาติพี่น้อง เอาเราะฮ์ระหว่างสามีภรรยา ฯลฯ ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไป โดยเอาเราะฮ์ระหว่างชายหญิงตามปกติทั่วไปนั้น สตรีมุสลิมต้องปกปิดร่างกายทั้งหมดยกเว้นเพียงใบหน้าและฝ่ามือ ด้วยความเรียบร้อยเหมาะสม การคลุมศีรษะต้องปิดบังเส้นผมจนถึงหน้าอก โดยที่ไม่เผยให้เห็นทรวดทรงหรือส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย ส่วนเอาเราะฮ์ของผู้ชายโดยทั่วไปนั้น คือการปกปิดตั้งแต่บริเวณสะดือถึงหัวเข่า
ลักษณะการแต่งกายของมุสลิม ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมตามแต่ภูมิภาคนั้นๆ เช่น ภูมิภาคตะวันออกกลาง (ประกอบด้วยวัฒนธรรมอาหรับ เปอร์เซีย เติร์ก) ภูมิภาคแอฟริกา ภูมิภาคเอเชียกลาง ภูมิภาคเอเชียใต้ (อินเดีย ปากีสถาน) และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (คาบสมุทรมลายู และหมู่เกาะ) โดยจะมีรายละเอียดลักษณะการแต่งกายแตกต่างกันไป สตรีมุสลิมแถบตะวันออกกลาง นิยมสวมเสื้อคลุมยาวเรียกว่า อบายะห์ (Abaya) ในเอเชียใต้นิยมห่มสาหรี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สวมเสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมลายู นุ่งซิ่นปาเต๊ะ ผ้าบาติก หรือการจับเอาหลายวัฒนธรรมมาผสมผสาน
สำหรับการคลุมศีรษะนั้น มีลักษณะการคลุมหลายลักษณะ เช่น คิมารฺ (Khimār) หรือตอรฺฮะฮฺ (Tarha) คือการใช้ผ้าคลุมศีรษะโดยเปิดเผยใบหน้า หรือ นิกอบ (Niqab) การใช้ผ้าปิดบังใบหน้า แต่เปิดเผยเฉพาะดวงตา และ บุรฺเกาะ(Burqa) คือปิดคลุมใบหน้าทั้งหมด ในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ผ้าคลุมฮิญาบได้คิดค้นด้วยภูมิปัญญาการเย็บปักผ้าคลุมอย่างประณีต รักษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้วยการออกแบบลายปักผ้าและสีสัน  เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว


 มุสลิมชายในวัฒนธรรมอาหรับจะสวมโต๊บ (Thawb/Thobe) ลักษณะเป็นชุดยาว หรือหากมีพิธีการสำคัญสามารถคลุมทับด้วยเสื้อคลุม มิชลาฮ์ (Mishlah/Bisht) สวมหมวกตะกียะห์ (Taqiyah) คลุมศีรษะด้วยผ้าชีมัค(Shemagh) หรือคัฟฟิเยห์ (Keffiyeh) ซึ่งมุสลิมไทยเรียกว่า "ผ้าซาราบั่นมีลักษณะการคลุมและโพกหัวหลากหลายแบบ หรือการรัดด้วยเชือกถักสายรัด อเกล (Agel/Egal/Ogal/Igal) ซึ่งอาจมีพู่ห้อย การรัดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าซาราบั่นหลุดเลื่อน โดยต้องอยู่ในขอบเขตของเอาเราะห์


ในพื้นที่คาบสมุทรมลายู นิยมสวมแขนยาวเสื้อคอตั้ง สวมกางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งผืนสั้น ที่เรียกว่า ผ้าซองเก็ต พันรอบเอว หากอยู่ในชุดลำลองจะสวมใส่โสร่ง ลายตารางทอด้วยฝ้าย สวมเสื้อเชิ้ตลำลอง เสื้อกุรง หรือเสื้อยืด ซึ่งนิยมในมุสลิมชายในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสวมหมวก "กะปิเยาะห์" ซึ่งเดิมเป็นสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรมในการสวมใส่หมวกของชาวอาหรับ 


ในประเทศแถบมลายูรวมถึงจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส จะนิยมสวมใส่หมวกที่เรียกกันว่า "ซอเกาะก์" (Songkok) ส่วนหมวกกะปิเยาะฮ์นั้นเป็นหมวกที่ชาวไทยมุสลิมสวมใส่ประกอบศาสนกิจ (การประกอบพิธีละหมาด) และสวมใส่ประจำวัน เกิดจากการนำผ้าหลาย ๆ ชนิดมาตัดเย็บซ้อนกัน ชั้น เย็บด้วยผ้าหลายชนิดทับซ้อนกัน และจะมีลวดลายต่าง ๆ บนหมวก ฝีมือการผลิตประณีต มีลวดลายปักและฉลุหลายแบบ คำว่า กะปิเยาะห์ แผลงจากคำว่าตะกียะห์ แปลว่า หมวก


โสร่ง (Sarong) ซึ่งเป็นผ้านุ่งอย่างหนึ่ง ที่ใช้ผ้าผืนเดียว เพลาะชายสองข้างเข้าด้วยกันเป็นถุง แบบเดียวกับผ้าถุง หรือผ้าซิ่น ใช้นุ่งอย่างแพร่หลาย ทั้งหญิงและชาย ในหลายประเทศของเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน บังคลาเทศ ฯลฯ นอกจากนี้ยังนิยมใช้ในหลายท้องถิ่นในหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิก โดยที่แต่ละท้องถิ่น จะมีชื่อเรียกต่างกันไป ทว่าอาจเรียกรวม ๆ ได้ว่า โสร่ง 


แหล่งที่มา :  http://mang007.blogspot.com/p/blog-page_7038.html

คำอวยพรวันฮารีรายอ






- อีดมุบาร็อก  ตะก้อบบะลัลลอฮุ มินนาวะมินกุม

(ขออัลลอฮฺทรงรับการงานที่ดีจากเราและจากท่าน) สิ่งใดผิดพลาดไปหรือทำให้พี่น้องขุ่นข้องหมองใจ ขอมอัฟไว้ ณ ที่นี้ด้วย

- ขอมะอัฟพี่น้องทุกท่าน  หากมีสิ่งใดล่วงเกินไปและขอพระองค์ทรงเมตตาพี่น้องทุกท่าน และเพิ่มพูนรสกีที่กว้างขวาง
และขอให้พี่น้องทุกท่านมั่นคงในอีหม่าน โอ้อัลลอฮฺผู้ทรงกรุณาปราณีผู้ทรงเมตตาเสมอ

- หากมีคำพูดหรือข้อความใดที่เป็นการล่วงเกินหรือผิดพลาด และทำให้พี่น้องไม่สบายใจ  ก็ขอมะอัฟไว้ ณ ที่นี้ด้วย

ขอให้พี่น้องทุกคนได้รับผลบุญและการอภัยโทษจากอัลลอฮฺ ซ.บ.ในรอมฎอนครั้งนี้ และขอให้ทุกๆวันของเรานับจากนี้ เป็นดั่งเช่นทุกวันในเดือนรอมฎอน .. อามีนยาร็อบบัลอาละมีน

-----------
หุก่มการกล่าวอวยพรเนื่องในวันอีด การจับมือและการสวมกอดหลังจากละหมาดอีด

ถาม : หุก่มของการกล่าวอวยพรเนื่องในวันอีด การจับมือและการสวมกอดหลังจากละหมาดอีดมีว่าอย่างไร ?
ตอบ :
อัลฮัมดุลิลลาฮฺ ...
มีปรากฏจากบรรดาเศาะหาบะฮฺ รอฏิยัลลอฮุอันฮุม เนื่องในวันอีดพวกเขาได้แสดงความยินดีซึ่งกันและกัน โดยการกล่าวว่า “ตะก็อบบะลัลลอฮุ มินนา วะมินกุม”

จากญุบัยรฺ บิน นุฟัยรฺ กล่าวว่า : ปรากฏว่าบรรดาศอฮาบะฮฺของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิวะซัลลัม เมื่อพวกเขาพบกันในวันอีดจะกล่าวอวยพรซึ่งกันและกันว่า

“ตะก็อบบะลัลลอฮุ มินนา วะมินกา”
อัลฮาฟิซกล่าวว่า: สายรายงานหะซันอิหม่ามอะหฺมัด รอฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่า : นับว่าไม่เป็นอะไรการที่คนหนึ่งกล่าวกับอีกคนเนื่องในวันอีด ว่า “ตะก็อบบะลัลลอฮุ มินนา วะมินกา”  อิบนุ กุดามะฮฺ คัดลอกคำพูดของท่านไว้ในหนังสือ อัลมุฆนียฺ
ชัยคุล อิสลามอิบนิ ตัยมิยะฮฺ ถูกถามใน “อัลฟะตาวา อัลกุบรอ” (2/228) : อนุญาตให้กล่าวอวยพร เนื่องในวันอีด และการกระทำด้วยความเคยชินของผู้คนทั่วไป เช่น “อีดมุบาร็อก” หรือคำพูดทำนองเดียวกันนี้

มีปรากฏในบทบัญญัติหรือไม่ ? และหากว่ามันมีปรากฏในบทบัญญัติ จะกล่าวด้วยประโยคอะไร ?
ท่านตอบว่า : “สำหรับการกล่าวอวยพรเนื่องในวันอีดพวกเขาจะกล่าวซึ่งกันและกันเมื่อพบกันหลังจากละหมาดวันอีด เช่น

“ตะก็อบบะลัลลอฮุ มินนา วะมินกุม” และ “อะหาละฮุลลอฮุ อะลัยกะ” และการกล่าวในทำนองเดียวกันนี้ ลักษณะเช่นนี้มีปรากฏว่าบรรดาเศาะหาบะฮฺกลุ่มหนึ่งได้ปฏิบัติและในเรื่องนี้บรรดาอิหม่ามส่วนหนึ่งมีความเห็นว่า สามารถกระทำได้ เช่น อิหม่ามอะหฺมัดและคนอื่นๆ ทว่าท่านอิหม่ามอะหฺมัดกล่าวว่า : ฉันจะไม่เป็นคนเริ่มกล่าว กับใครก่อนและหากมีผู้ใดมาเริ่มกล่าวกับฉันก่อนฉันจะกล่าวตอบ เพราะว่าการกล่าวตอบคำทักทายเป็นสิ่งที่จำเป็น ส่วนการเริ่มกล่าวคำอวยพรไม่ใช่สุนนะฮฺที่ถูกใช้ให้ปฏิบัติแต่ประการใดและเช่นกันไม่มีคำสั่งห้าม
ดังนั้น ผู้ใดได้ปฏิบัติเขาก็มีแบบอย่างและผู้ที่ไม่ปฏิบัติเขาก็มีแบบอย่าง วัลลอฮุ อะลัม”
เชคอิบนุ อุษัยมีน ถูกถามเรื่องหุก่มของการกล่าวอวยพรเนื่องในวันอีดมีว่าอย่างไร ? และมีประโยคหรือสำนวนเฉพาะหรือไม่ ?
ท่านตอบว่า : “การกล่าวอวยพรเนื่องในวันอีดเป็นสิ่งที่อนุญาตให้กระทำ และมันไม่มีประโยคหรือสำนวนของการอวยพรเป็นการเฉพาะ ทว่าเป็นความเคยชินที่ผู้คนถือปฏิบัติกันมา อนุญาตให้กระทำ และไม่มีความผิดแต่ประการใด”

ท่านได้กล่าวเช่นกันว่า “การกล่าวอวยพรเนื่องในวันอีด มีบรรดาเศาะหาบะฮฺ รอฏิยัลลอฮุอันฮุม บางกลุ่มได้ปฏิบัติกันมา และถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติแต่ทว่าในยุคปัจจุบันเป็นประเพณีที่คุ้นเคยของผู้คน จะกล่าวอวยพรซึ่งกันและกันในโอกาสที่กลับมาพบวันอีด และในโอกาสที่การถือศีลอด การละหมาดกิยามครบถ้วนสมบูรณ์”
ท่านเชคยังถูกถามเรื่อง : หุก่มการจับมือ การสวมกอดและการอวยพรหลังจากการละหมาดอีดมีว่าอย่างไร ?
ท่านตอบว่า :“การกระทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้นับว่าไม่เป็นไร เพราะบรรดาผู้ปฏิบัติไม่ได้ยึดถือว่ามันเป็นหนทางสู่การเคารพภักดีและเป็นการแสดงถึงความใกล้ชิดต่ออัลลอฮฺ ทว่าพวกเขาได้ปฏิบัติมันเป็นประเพณีความเคยชินและเป็นการให้เกียรตินอบน้อม และตราบใดที่ประเพณีปฏิบัติไม่มีบทบัญญัติมาห้าม พื้นฐานเดิมของมันถือว่าเป็นที่อนุญาต” (มัจญมัวะฟะตาวา อิบนุ อุษัยมีน 16 / 208 - 210)



แหล่งที่มา : www.islamqa.com หมายเลขฟัตวา 49021 , http://islamhouse.muslimthaipost.com/main/index.php?page=sub&category=50&id=19209

การประกอบพิธีกรรมในวันฮารีรายอ



ความสำคัญ

     วันฮารีรายอ เป็นวันรื่นเริงประจำปี ชาวมุสลิมจะไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่ออภัยต่อกันในสิ่งที่ผ่านมา เป็นวันที่ทุกคนมีความสุขมาก มุสลิมจะมีการประกอบพิธีกรรมไทยพร้อมเพรียงกันทั่วโลก ในวันอีดีลฟิตรี มุสลิมทุกคนจะต้องจ่ายซะกาตฟิตเราะห์ บริจาคทานแก่คนยากจนอนาถา ส่วนในวันอีดิลอัฏฮา จะมีการเชือดสัตว์พลี แล้วจะทำ กุรบัน แจกจ่ายเนื้อเพื่อเป็นทานแก่ญาติมิตร สัตว์ที่ใช้ในการเชือดพลีได้แก่ อูฐ วัว แพะ เป็นการขัดเกลาจิตใจของมนุษย์ให้เป็นผู้บริจาค เป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ในวันฮารีรายอชาวมุสลิม จะเดินทางกลับภูมิสำเนาของตน มาร่วมประกอบพิธีกรรมทางศาสนาโดยพร้อมเพรียงกัน ได้พบปะ สังสรรค์กับเพื่อน ญาติพี่น้อง เพื่อจะได้ขออภัยต่อกัน



พิธีกรรม

     ๑.การปฏิบัติตนในตอนเช้าของวันฮารีรายอ โดยตื่นนอนแต่เช้าตรู ผู้หญิงจะเป็นผู้ตกแต่งบ้านเรือนให้สะอาดสวยงามเป็นพิเศษ จัดเตรียมอาหาร ขนมต่าง ๆ ไว้ต้อนรับเพื่อน ญาติพี่น้อง และแขกที่มาเยี่ยมเยียน ทุกคนต้องปฏิบัติบริจาคซากาตฟิตเราะห์ก่อนที่จะไปละหมาดในวันอีดิลฟิตรี สิ่งของที่ใช้ในการบริจาค โดย'ใช้สิ่งของที่บริโภคเป็นอาหารหลัก

     ๒.การอาบน้ำในวันฮารีรายอ เมื่อปฏิบัติภารกิจเสร็จ จะอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เรียกว่าอายน้ำสุนัต กำหนดเวลาอาบตั้งแต่เที่ยงคืนเริ่มต้นวันฮารีรายอ จนถึงพระอาทิตย์ตก แต่เวลาที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมอาบน้ำสุนัต คือเมื่อแสงอรุณขึ้นขอบฟ้าในวันฮารีรายอ ในขณะอาบน้ำสุนัตทุกคนจะต้องกล่าวดุอารีเป็นการขอพร

     ๓.การประกอบพิธีกรรม ชาวมุสลิมจะเดินทางไปประกอบพิธีกรรมที่มัสยิดวันอีดิลฟิตรีจะไปมัสยิดเวลา ๘.๓๐ น. วันอีดิลอัฏฮา จะไปมัสยิดเวลา ๗.๓๐ น. การปฏิบัติตนเมื่อเดินทางถึงมัสยิด ทุกคนจะอาบน้ำละหมาด จากนั้นจึงเข้าไปในมัสยิด ทำการละหมาด ตะฮีญะดุลมัสยิด ๒ รอกาอัต มีการแบ่งแยกผญิงชาย โดยใช้ม่านกั้นกลาง เสร็จแล้วจัดแถวนั่งรอฟังโต๊ะอิหม่าม ซึ่งเป็นผู้นำในการทำพิธีละหมาด
     ๔.การละหมาด จะมีโต๊ะอีหม่ามเป็นผู้นำละหมาดจำนวน ๒ รอกาอัต
          ๑)เริ่มพิธีด้วยการยืนตรงเท้าห่างกันประมาณ ๑ คืบ หันหน้าไปทางกิบลัต (ทิศตะวันตก) สำรวมจิตใจแน่วแน่มุ่งตรงต่ออัลลอฮ อีหม่ามจะอ่านนำว่า
"อูซอลลีซุนนาตัน อีดิลฟิตรี (หรืออีดิลอัฏฮา) ร็อกกะตัยนี มะมูมัน ลิ้ลลาฮีตาอาลา และคิดในใจว่า ข้าพเจ้าละหมาดสุนัตอีดิลฟิตรี เพื่ออัลลอฮตาอาลา
          ๒)ตักบีร่อตุลเอียะฮ์รอม คือ การยกมือทั้งสองข้าง โดยแบฝ่ามือไปข้างหน้าให้หัวแม่มือจรดเหนืออยู่ระดับติ่งหูทั้งสองข้าง แล้วกล่าวคำว่า "อัลลอฮูอักบัร" ในขณะที่กล่าวคำ อัลลอฮูอักบัร ให้ตั้งเจตนาหรือนึกในใจ (เนียต) เนียตว่า "ข้าพเจ้าละหมาดสุนัตอีดิลฟิตรี (อีดิลอัฏฮา) ๒ รอกาอัตในเวลาเพื่ออัลลอฮตาอาลา แล้วลดมือทั้งสอง ลงมากอดอกให้มือขวาทับมือซ้าย แล้วกล่าว "ซุบฮานัลลอ วันฮัมดูลิลลา วาลาอีลา ฮาอินลัลลอ ฮูวัลลอฮูอักบัร ๖ ครั้ง ในรอกาอัตแรกแล้วกล่าว "อัลลอฮูอักบัร" ๗ ครั้ง จากนั้นใหฟังอีหม่าม (ผู้นำ) อ่านฟาตีฮะและซูเราะฮ
          ๓)เมื่ออีหม่าม (ผู้นำ) อ่านซูเราะฮเสร็จแล้วให้กล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับยกมือทั้งสองเหมือนกับการตักบีรอตุลเอียะรอมในข้อ ๒ แล้วเอามือลง ก้มศีรษะโดยโน้มตัวลงเอาฝ่ามือจับเข่าให้ศีรษะและหลังอยู่ในระดับเดียวกันเรียกว่า "รอเกาะฮ" หรือ รูกัวะ หยุดนิ่งพร้อมกับอ่านตัสเบียะ คือซุบฮาน่า ร็อบบียัลอ้าซีม ว่าบีฮัมดี้ฮี
          ๔)เมื่ออ่านตัสเบียะฮจบแล้วให้เงยขึ้นมายืนตรง ขณะที่กำลังเงยให้อ่าน "ซ่ามีอัลลอฮู ลีมันฮามีดะฮ์" 
พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นเสมอไหล่ เหมือนกับการตักบีรครั้งแรก แล้วจึงลดมือลงแนบกับข้างตัวเรียกว่า "เอียะติดาล" ขณะที่ยืนตรงอยู่นี้ให้อ่าน "ร็อบบ๊านา ล่ากัลฮัมดิ์"
          ๕)กล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับลดตัวลงคุกเข่ากับพื้น เอาฝ่ามือยันลงที่พื้น ให้ปลายนิ้วมือชี้ตรงไปข้างหน้า แล้วก้มลงให้หน้าผากแนบลงกับพื้น และจมูกแตะพื้นเรียกว่า "สูญูด" ให้หยุดนิ่งพร้อมกับอ่าน "ซุบฮานาร็อบบี้ยัลฮะลา ว่าบีฮัมดี้ฮี"
         ๖)กล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับเงยศีรษะจากการสูญูดขึ้นมานั่งเรียกว่า นั้งระหว่าง ๒ สูญด ในการนั่งให้เอาตาตุ่มเท้าซ้ายรองกัน ให้ท้องนิ้วของเท้าขวายันพื้น ฝ่ามือทั้ง ๒ วางบนเข่าแล้วจึงอ่าน "ร็อบบิวฆ์ฟิรลี วัรฮัมนี วัรซุกนี วะฮ์ดี้นี ว่าอาฟีนี วะฟุ่อันนี"
        ๗)เมื่ออ่านจบแล้วกล่าว "อัลลอฮูอักบัร" พร้อมกับก้มลงสูญูดอีกครั้ง เรียกว่า สูญูดครั้งที่ ๒ อ่าน "ซูบฮาน่าร็อบบียัลอะฮ์ลา ว่าบีฮัมดี้ฮี้" ๓ ครั้ง เหมือนการสูญูดครั้งแรก
       ๘)เมื่ออ่านจบแล้วจึงเงยจากสูญูดครั้งที่ ๒ พร้อมกล่าว "อัลลอฮูอักบัร" มายืนตรงเอามือกอดอกดังเดิมรอกาอัตที่ ๒ ให้อ่านเหมือนรอกาอัตที่ ๑ แต่อ่าน "ซุบฮานันลอ วัลฮัมดุลิลลา วาลาอีลาฮาอิลลัลลอ ๔ ครั้ง แล้วอ่าน อัลลอฮูอักบัร ๕ ครั้ง จากนั้นให้ปฏิบัติเหมือนรอกาอัตที่ ๑ จนเสร็จสิ้นการละหมาด
  ๕.การปฏิบัติตนเมื่อละหมาดเสร็จ หลังจากละหมาดเสร็จแล้ว มุสลิมทุกคนจะนั่งฟังอีหม่ามกล่าวคุฏบะ (คำอบรม) เพื่อแนะแนวทางชีวิตด้านความศรัทธาที่กระตุ้นเตือนให้ปฏิบัติแต่ความดีละเว้นความชั่ว และปฏิบัติตามแนวทางของอิสลาม เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ขณะนั่งฟังนั้นทุกคนจะอยู่ในความสำรวม สงบนิ่ง ตั้งใจฟัง ไม่พูดจาใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่ออีหม่ามอ่านคุฏบะฮจบแล้ว อีหม่ามจะขอพรจากพระองค์อัลลอฮเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และบรรดามุสลิมที่มาร่วมประกอบพิธีกรรม จะมีการขออภัยต่อกันโดยผู้น้อยจะเข้าไปขออภัยผู้อาวุโสกว่า

แหล่งที่มา : http://www.prapayneethai.com/การประกอบพิธีกรรมในวันฮารีรายอ

วันฮารีรายอ วันสำคัญของศาสนาอิสลาม



     "ฮารีรายอ" (Hari Raya) เป็นภาษามลายูปัตตานี ส่วนในภาษามลายูกลาง แปลว่า วันใหญ่ หรือ วันอีด เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของชาวมุสลิม โดยก่อนวันงาน ชาวมุสลิมจะออกมาจับจ่ายซื้อของ เสื้อผ้า และหมวกกะปิเยาะ เพื่อเตรียมต้อนรับเทศกาลฮารีรายอกันอย่างคึกคัก และในวันดังกล่าวชาวมุสลิมจะไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน เพื่ออภัยต่อกันในสิ่งที่ผ่านมา มีการแสดงออกด้วยการสวมกอด การจูบมือ การหอมแก้มทั้งสองของพ่อแม่ เป็นการแสดงความรัก ลูกหลานที่อยู่ต่างภูมิลำเนาต่างกลับบ้าน เมื่อมาขออภัยและอำนวยพรให้พ่อแม่ ทุกครัวเรือนจะมีความอบอุ่นไปด้วยบรรดาลูก ๆ หลาน ๆ กลับบ้านโดยพร้อมเพรียงกัน

     ช่วงเวลา ในรอบปีหนึ่ง ชาวมุสลิม มีวันฮารีรายอ 2 ครั้ง คือ

           1) อีดิลฟิตรี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนเชาวาล ซึ่งเป็นเดือน 10 ตามปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นวันออกบวช

           2) อีดิลอัฏฮา ตรงกับวันที่ 10 เดือน ซุลฮิจญะ หรือตรงกับเดือน 12 ของปฏิทินอิสลาม ซึ่งเป็นการฉลอง วันออกฮัจญ์ หรือ ถือเป็นวันครบรอบการถือศีลอดของเดือนรอมฎอน


แหล่งที่มา : http://hilight.kapook.com/view/75183